ผู้กำกับโรงพักบางกรวย งัดหลักฐานโต้หนุ่ม ร้องถูกอุ้มรีดเงินยัดยาขู่อุ้มลูกสาว 4 ขวบ ลั่นสมัยนี้ไม่มีตำรวจที่ไหนทำแบบนั้น ยันชุดสืบไปดักจับตามสายแจ้ง ค้นไม่เจอหลักฐาน แต่ในมือถือมีข้อมูล เจ้าตัวอาสาล่อซื้อให้ ไม่ได้บังคับ ทำร้ายร่างกาย ฮึ่มทำให้เสื่อมเสีย
จากกรณี จ่าคิงส์ แตงทิม สะพานใหม่ พานายพงศธร และภรรยา เข้าแจ้งความกองปราบ ระบุ ถูกตำรวจโรงพักแห่งหนึ่งในจ.นนทบุรี ยัดยาและอุ้มตัวไปรีดทรัพย์ 2 แสนพร้อมพระเครื่อง รวมทั้งข่มขู่จะอุ้มลูกสาววัย 4 ขวบด้วยทำให้ไม่กล้าส่งลูกสาวไปโรงเรียนและไม่กล้าแจ้งความ โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมาเวลา 13.00 น. บริเวณข้างซอยวัดตะระเก อ.บางกรวย จ.นนทบุรี
ล่าสุดเรื่องนี้ เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 25 ก.ค.2567 ที่สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ พงศ์ธนารักษ์ ผกก.สภ.บางกรวย ได้ชี้แจงว่า กรณีของนายพงศธรที่อ้างตัวว่าตกเป็นผู้เสียหายถูกตำรวจชุดสืบสวน สภ.บางกรวย ยัดยารีดเงินและขู่อุ้มลูกสาวนั้น
จากการตรวจสอบเรื่องทั้งหมดแล้ว พบว่าในวันดังกล่าวตำรวจชุดปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่บางกรวย ได้รับแจ้งสายลับในพื้นที่ว่าในวันที่ 9 ก.ค.ช่วงเวลาบ่ายโมง จะมีการนัดหมายส่งมอบยาเสพติดกันด้วยรถเก๋งสีดำแถววัดตะระเก สารวัตรสืบสวนพร้อมเจ้าหน้าที่รวม 4 คนจึงไปตรวจสอบพบชายต้องสงสัยพร้อมรถเก๋งสีดำตรงกับข้อมูลที่สายลับแจ้งมา จึงแสดงตัวเข้าขอตรวจค้น
“ซึ่งทุกขั้นตอนตำรวจมีคลิปวีดีโอยืนยันการปฎิบัติงานตามขั้นตอนของกฏหมาย รวมทั้งแสดงบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เพื่อขอค้นตัวผู้ต้องสงสัย ซึ่งนายพงศธร ผู้ต้องสงสัยก็ได้อ่านชื่อเจ้าหน้าที่อย่างละเอียด ก่อนยินยอมให้ตรวจค้นโดยไม่พบของผิดกฎหมายในตัวและในรถ กระทั่งเมื่อขอตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือจึงพบว่า ในคลังรูปภาพมีภาพยาเสพติดยาเค ยาไอซ์ และยาบ้า อยู่ในเครื่องและมีข้อมูลการสนทนาซื้อขายยาเสพติดกัน ทำให้นายพงศธรยอมรับรู้จักกลุ่มค้ายาเสพติดจริง พร้อมให้ความร่วมมือติดต่อล่อซื้อยามาส่งให้ตำรวจเอง”
พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ กล่าวต่อว่า โดยได้นัดหมายให้นำยามาส่งที่ลานจอดรถในวัดเชิงกระบือ ซึ่งจุดนี้มีวงจรปิดจับภาพได้ว่านายพงศธรไม่ได้ถูกซ้อมทำร้ายร่างกายหรือถูกควบคุมตัวตามที่กล่าวอ้าง เพราะเดินไปมาอยู่กับตำรวจสืบสวน จากนั้นมีไรเดอร์วิ่งนำกล่องพัสดุมาส่ง แต่เมื่อตรวจสอบภายในกล่องกับพบว่าเป็นซิมการ์ดมือถือ เพราะนักค้ายาเสพติดไหวตัวทันเสียก่อนจึงได้ยึดโทรศัพท์มือถือนายพงศกรมาตรวจสอบ เพราะมีข้อมูลซื้อขายยาเสพติดที่เชื่อมโยงไปยังผู้ค้ายารายอื่น ซึ่งตำรวจก็ได้แจ้งว่าหลังจากตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้วให้นายพงศธรมาติดต่อขอรับมือถือคืนได้ แต่นายพงศธรก็ไม่มารับมือถือกลับไป ตำรวจจึงได้นำมือถือไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
ขอยืนยันว่า ตำรวจชุดสืบสวนไม่ได้นำเงินหรือพระเครื่องของนายพงศธรไปตามที่ถูกกล่าวหา การที่นายพงศธรไปร้องไปแจ้งโดยไม่มีข้อเท็จจริง ทางโรงพักเตรียมพิจารณาดำเนินคดีกับนายพงศธรเช่นกัน ที่กล่าวหาใส่ร้ายตำรวจทำให้ภาพลักษณ์ของตำรวจบางกรวยเสียหายที่ไม่เป็นความจริง ซึ่งตำรวจได้บันทึกภาพเหตุการณ์ขณะเข้าตรวจค้นรวมทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดในละแวกจุดเกิดเหตุไว้เป็นหลักฐานด้วย จุดที่ตรวค้นนั้นก็เป็นที่โล่งแจ้งอยู่ใกล้โรงงานที่ขายผ้าไตร ตรวจค้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้มีบังคับ ทำร้ายร่างกาย หรือรีดทรัพย์ตามที่ถูกกล่าวหา ตำรวจทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ ส่วนผู้ต้องสงสัยจะไปแจ้งยังไงก็สุดแล้วแต่ การทำงานของตำรวจไม่มีที่จะไปทำร้ายร่างกาย เพราะตรงนั้นเป็นบริเวณใกล้โรงงาน ไม่ใช่ที่ปิดบังและเป็นเวลากลางวัน
เป็นช่วงพักเที่ยงหากมีการทำร้ายร่างกาย เขาสามารถตะโกนร้องขอความช่วยเหลือได้อยู่แล้ว แต่ผู้ต้องสงสัยเองอาสาอยากจะช่วยงานตำรวจเพื่อล่อซื้อยาเสพติดมาให้ด้วยความสมัครใจ ไม่ได้มีการบังคับใดๆ ส่วนที่ว่าตำรวจเอาเงินและพระเครื่องไปนั้นซึ่งมันไม่มีอยู่แล้วในรถ แล้วยิ่งยุคสมัยนี้ไม่มีใครเอายาเสพติดไปยัดให้ใครแล้วทุกพื้นที่มีกล้องทั้งหมด ถ้าผู้ต้องสงสัยถูกจับกุมจริงในวันนั้นก็จะต้องถูกยึดรถด้วย แต่รถเขาก็ไม่ได้ถูกยึดแต่อย่างใด จากการตรวจสอบประวัติพบว่าผู้ถูกกล่าวหารายนี้มีประวัติถูกจับเรื่องพกพาอาวุธปืนเมื่อปี 54 และคดีปล้นในปี 56 มาก่อนแล้ว ” พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ ระบุ